tag:blogger.com,1999:blog-62039603211484746882024-03-13T19:14:58.512-07:00ข้าวโพดAnphonhttp://www.blogger.com/profile/02749651871957061905noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-6203960321148474688.post-12861628714087009932011-09-19T04:39:00.001-07:002011-09-19T04:39:32.388-07:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVfdv64Hyjkmi1oHZAvl5imUhh_afqvucleGkXtiVGENW9OR1LOl5iLuZA1MD36UJSmT7Di4wrwzPZH3hL2zrMv8RMBVkRuZZwU12ZE9TGpqBiRqYxk1C3KyQHdiuKkhbfs4rlwi7m-NQZ/s1600/kkkk" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="145" width="179" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVfdv64Hyjkmi1oHZAvl5imUhh_afqvucleGkXtiVGENW9OR1LOl5iLuZA1MD36UJSmT7Di4wrwzPZH3hL2zrMv8RMBVkRuZZwU12ZE9TGpqBiRqYxk1C3KyQHdiuKkhbfs4rlwi7m-NQZ/s400/kkkk" /></a></div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOALN7cycNRj1EqkbncISHhKeTC__Gl1T1NqroHTll-JSqW16HNEN418zK2QdssHiutKXrE2_LRtAHYP9odlHqgyK77hciS-ckND5I5DFgjYdzoG2WAY9OLFPoQgpYOY663e4Rjno883dZ/s1600/kkkkkk.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="192" width="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOALN7cycNRj1EqkbncISHhKeTC__Gl1T1NqroHTll-JSqW16HNEN418zK2QdssHiutKXrE2_LRtAHYP9odlHqgyK77hciS-ckND5I5DFgjYdzoG2WAY9OLFPoQgpYOY663e4Rjno883dZ/s400/kkkkkk.jpg" /></a></div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAQ43Tp3V5Bf16UlO3smKsnWgh1mgCuq-G1LZDlrO3VC0nMJw4sl4OBnyjx2ZMEMJsrk-UGqNSUu7Z1kHcsa9KZG8TpTmKbGG9ALWYEsDGxkZKRJ-OpLvfrgsUdmnAZhLs0f0tkTmewNed/s1600/kkkkkkk.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="255" width="197" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAQ43Tp3V5Bf16UlO3smKsnWgh1mgCuq-G1LZDlrO3VC0nMJw4sl4OBnyjx2ZMEMJsrk-UGqNSUu7Z1kHcsa9KZG8TpTmKbGG9ALWYEsDGxkZKRJ-OpLvfrgsUdmnAZhLs0f0tkTmewNed/s400/kkkkkkk.jpg" /></a></div>Anphonhttp://www.blogger.com/profile/02749651871957061905noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6203960321148474688.post-9455329488618390502011-09-19T04:28:00.001-07:002011-09-19T04:28:49.353-07:00ข้าวโพดหวาน<br />
<br />
ประเด็นเทคโนโลยีที่ควรถ่ายทอด<br />
1 การจัดการผลิตข้าวโพดหวานที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของตลาดหรือโรงงาน<br />
อตุสาหกรรม<br />
2 ผลผลิตข้าวโพดหวานให้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง<br />
เนื้อหา<br />
1. การจัดการผลิตข้าวโพดหวานที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของตลาดหรือโรงงานอตุสาหกรรม<br />
1.1 การเลือกพันธุ์<br />
พันธุ์ส่งเสริม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ<br />
1.1.1 พันธุ์ผสมเปิด ได้แก่ ฮาวายเอื้อนซูการ์ซุปเปอร์สวี ซุปเปอร์สวีทดีเอ็มอาร์ <br />
และไทยซุปเปอร์คอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ จุดเด่น คือเกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดใช้ทำพันธุ์ต่อได้ จุดด้อย ลักษณะทางการเกษตรไม่สม่ำเสมอ<br />
1.1.2 พันธุ์ลูกผสม ได้แก่ เอทีเอส 2 ซูการ์ 74 ซูการ์ 73 ไฮบริกซ์ 3 ไฮบริกซ์ 10 อินทรีย์ 2 พันธุ์หวานทองจุดเด่น ลักษณะทางการเกษตรสม่ำเสมอ ได้แก่ ความสูงของต้น ความสูงของฝัก ขนาดฝัก อายุวันออกไหมและเก็บเกี่ยวพร้อมกัน ให้ผลผลิตสูงตั้งแต่ 1.5 - 2 ตัน จุดด้อย ไม่สามารถ<br />
เก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ได้<br />
1.2 การปลูกและดูแลรักษา<br />
1.2.1 การวิเคราะห์ดินก่อนปลูก <br />
ถ้าดินมีความเป็นกรดด่างต่ำกว่า 5.5 ให้ใส่ปูนขาวอัตรา 100 - 200 กิโลกรัมต่อไร่ แล้ว<br />
ไถพรวนดิน และถ้าดินมีอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1.5 ก่อนพวนดินให้ใส่ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วอัตรา 500 - 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปลูกถั่วเขียวอัตรา 5 กิโลกรัม/ไร่ หรือปลูกถั่วพร้าอัตรา 8-10 กิโลกรัมต่อไร่ หรือหลังเก็บผักข้าวโพดหวานแล้วไถกลบต้นข้าวโพด เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน<br />
1.2.2 การเตรียมดินบนพื้นที่ราบ <br />
ทำการไถด้วยพาลสาม 1 ครั้ง ลึก 20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน พรวนดินด้วยผาลเจ็ดอีก 1 ครั้ง เพื่อย่อยดินและปรับพื้นที่ให้เรียบ แล้วไถยกร่องพร้อมปลูกสูง 25-30 เซนติเมตร ถ้าปลูกแถวเดี่ยวให้มีระยะระหว่างร่อง 75 เซนติเมตร ระหว่างหลุม 25 เซนติเมตร ถ้าปลูกแถวคู่ระหว่างร่องระยะห่าง 120 เซนติเมตร ระยะห่างหลุม 25 เซนติเมตร<br />
1.2.3 การเตรียมดินปลูกบนร่องสวน <br />
เป็นการปลูกบนร่องสวนในที่ลุ่ม โดยยกร่องกว้าง 4-5 เมตร ความยาวตามพื้นที่ใช้<br />
รถไถดินเดินตามหรือใช้จอบพลิกหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร ตากดิน 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยคอก 500 - 1,000 กิโลกรัม/ไร่ แล้วย่อยดินด้วยแรงคน จึงปลูกโดยใช้ระยะปลูก ระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร ระหว่างหลุม 50 เซนติเมตร หลอดหลุมละ 2-3 เม็ด อายุ 14 วัน ถอนเหลือ 2 ต้น/หลุม<br />
1.3.4 การใส่ปุ๋ย<br />
ในกรณีการวิเคราะห์ดินแล้ว พบว่า ดินมีอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1.5 ให้ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะเตรียมดิน และให้ปุ๋ย 2 ระยะ คือ<br />
1) ใส่รองพื้นพร้อมปลูก ในดินร่วนใช้สูตร 16-20-0 สำหรับดินร่วนปนทรายใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่<br />
2) ใส่เมื่อข้าวโพดหวานอายุ 20 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างต้นหรือข้างแถว แล้วพรวนดินกลบ<br />
2.3.5 การให้น้ำ<br />
ให้ทันทีหลังปลูกข้าวโพดหวาน หรือหลังใส่ปุ๋ยทุกครั้ง ในช่วงผสมเกษร และติดเมล็ดอย่าให้ขาดน้ำ เพราะจะทำให้คุณภาพไม่ดี ผลผลิตลดลง<br />
1) แบบพ่นฝอย ให้ทุก 7-10 วัน ในฤดูแล้งให้ทุก 3-5 วัน<br />
2) การให้น้ำตามร่อง ให้ทุก 7-10 วัน ในฤดูแล้งดินร่วนปนทรายทุก 3-5 วัน<br />
<br />
2. ผลผลิตข้าวโพดหวานให้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง<br />
ศัตรูของข้าวโพดฝักหวานและการป้องกันกำจัด<br />
โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด<br />
โรคราน้ำค้างหรือใบลาย <br />
สาเหตุ เชื้อรา<br />
ลักษณะอาการ ระบาดรุนแรงในระยะต้นอ่อนอายุประมาณ 1 เดือน ทำให้ยอดมีข้อถี่ ต้นแคระแกรน ใบเป็นทางสีขาว สีเขียวอ่อน หรือสีเหลืองอ่อนไปตามความยาวของใบ พบผงสปอร์สีขาวเป็นจำนวนมากบริเวณใต้ใบในเวลาเช้ามืดของคืนที่มีฝนตกและอากาศค่อนข้างเย็น ถ้าระบาด รุนแรง <br />
ต้นจะแห้งตาย แต่ถ้าต้นอยู่รอดจะไม่ออกฝัก หรือติดฝักแต่ไม่มีเมล็ด เชื้อราติดไปกับเมล็ด สปอร์ปลิวไปตามลมและน้ำ<br />
ช่วงเวลาระบาดรุนแรงในฤดูฝน ที่มีอุณหภูมิต่ำหรือความชื้นสูง<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งและแปลงที่มีโรคระบาด<br />
- ในแหล่งที่มีการระบาดของโรครุนแรงเป็นประจำ ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี <br />
นครสวรรค์ พิจิตร พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และนครปฐม ต้องคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช <br />
- ใช้เมล็ดพันธุ์ที่แห้งสนิท ถ้าความชื้นเมล็ดสูงกว่า 10% จะมีเชื้อโรคติดมากับเมล็ด<br />
- ถอนต้นที่แสดงอาการเป็นโรค เผาทำลายนอกแปลงปลูก<br />
- ทำลายพืชอาศัยของโรคก่อนปลูก เช่น หญ้าพง และหญ้าแขม เป็นต้น<br />
สำหรับโรคราน้ำค้างหรือใบลาย ควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชคือเมตาแลกซิล (35 % ดีเอส) คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกปริมาณ 7 กรัม/เมล็ด 1 กิโลกรัม<br />
โรคใบไหม้แผลเล็ก <br />
สาเหตุ ชื้อรา <br />
ลักษณะอาการ ระยะแรกเกิดจุดเล็ก ๆ สีเขียวอ่อนฉ่ำน้ำ ต่อมาแผลขยายไปตามเส้นใบเกิดเป็นแผลไหม้ บริเวณกลางแผลมีสีเทา ขอบแผลสีน้ำตาล ขนาดของแผลไม่แน่นอน ส่วนใหญ่เกิดกับใบล่าง เชื้อราติดไปกับเมล็ด สปอร์ปลิวไปตามลมและน้ำ<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในปลายฤดูฝน<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งแปลงที่มีโรคระบาด<br />
- เก็บเศษซากพืชที่เป็นโรค เผาทำลายนอกแปลงปลูก<br />
- พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช<br />
สำหรับโรคใบไหม้แผลเล็ก ค วรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชคือ บาซิลัส ซับทิลิส ปริมาณ 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร โดยการพ่นเมื่อข้าวโพดหวานมีอายุ 7 วัน พ่นซ้ำทุก 5 วัน จำนวน 3 ครั้ง และหยุดการใช้สารก่อนเการเก็บเกี่ยว 1 วัน หรือ ไตรโฟรีน (20 % อีซี) ปริมาณ 60 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร<br />
ใช้พ่นเฉพาะบริเวณที่เป็นโรค<br />
โรคราสนิม<br />
สาเหตุ เชื้อรา <br />
ลักษณะอาการ เกิดได้แทบทุกส่วนของต้นข้าวโพด ระยะแรกพบเป็นแผลจุดนูน <br />
สีน้ำตาลแดง ขนาด 0.2-1.3 มิลลิเมตร ต่อมาแผลจะแตกเห็นเป็นผงสีสนิม ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ใบแห้งตาย<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในปลายฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว ที่มีอุณหภูมิต่ำ<br />
และความชื้นสูง<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- เก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลงปลูก<br />
- พ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช<br />
สำหรับโรคราสนิม ควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชคือ ไดฟีโนโคนาโซล (25 % อีซี) ปริมาณ 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร โดยการพ่นเมื่อเริ่มพบการทำลายเฉาพะบริเวณที่เป็นโรค<br />
แมลงศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด<br />
หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด<br />
ลักษณะและการทำลายเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีทองแดง กางปีกกว้างประมาณ 3.0 เซนติเมตร วางไข่เป็นกลุ่มซ้อนกันคล้ายเกล็ดปลา หนอนเริ่มเข้าทำลายตั้งแต่ข้าวโพดหวานอายุ 20 วันถึงระยะเก็บเกี่ยว โดยเจาะเข้าทำลายส่วนยอด ช่อดอกตัวผู้ และลำต้น ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต หักล้มง่าย เมื่อมีการระบาดรุนแรง จะเข้าทำลายฝัก พบการทำลายในแหล่งปลูกทั่วประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี และลพบุรี<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลา<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ควรสำรวจกลุ่มไข่ หนอน รูเจาะ และยอดที่ถูกทำลายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงข้าวโพดหวานอายุ 20-45 วัน <br />
- เมื่อเริ่มพบการทำลาย ควรทำการพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชสำหรับหนอนเจาะลำต้นข้าวโพด สามารถใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ ไซเพอร์เมทริน (15% อีซี) ปริมาณ 10 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรฟลูมูรอน (25 %ดับบริวพี) ปริมาณ 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร <br />
ใช้เมื่อพบยอดข้าวโพดหวานถูกทำลาย 30 % ในช่วงระยะก่อนออกดอกตัวผู้หรือพบหนอนเฉลี่ย 20-100 ตัวหรือรูเจาะ 50 รู ต่อข้าวโพด 100 ต้น และหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 5 วัน และ 14 วัน<br />
หนอนเจาะสมอฝ้าย<br />
ลักษณะการเข้าทำลาย ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดกลาง วางไข่ฟองเดี่ยว ๆ <br />
ที่ช่อดอกตัวผู้ และเส้นไหมบริเวณปลายฝัก หนอนกัดกินเส้นไหม และเจาะเข้าไปอาศัยกัดกินปลายฝัก <br />
ทำให้คุณภาพฝักเสียหาย พบการทำลายในแหล่งปลูกทั่วประเทศ ระยะข้าวโพดหวานเริ่มออกช่อดอกตัวผู้ โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี และลพบุรี<br />
ช่วงเวลาการระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศร้อนชื้น<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ในพื้นที่ขนาดเล็ก ควรใช้มือจับทำลายหนอนที่ปลายฝัก<br />
- ควรสำรวจหนอนที่ปลายฝักข้าวโพดหวานในระยะผสมเกสร ถ้าพบการทำลายควรพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช สำหรับหนอนเจาะสมอฝ้าย สามารถใช้ชีวิทรีย์หรือสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ นิวเคลียร์โอโพลีฮีโดรซีสไวรัส ปริมาณ 30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นในเวลาเย็นสลับกับสารเคมีและหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 1 วัน หรือ ฟลูเฟนนอกซูรอน (5 % อีซี) ปริมาณ 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ใช้พ่นเฉพาะฝักที่พบไหมถูกทำลาย เมื่อพบหนอนขนาดเล็ก 10-20 ตัวต่อ 100 ต้น พ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน และหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 7 วัน<br />
<br />
<br />
เพลี้ยอ่อนข้าวโพด<br />
ลักษณะและการเข้าทำลาย เป็นแมลงปากดูดขนาดเล็ก ลักษณะกลมป้อมคล้ายผลฝรั่ง สีเขียวอ่อน มีทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก ยาว 0.8-2.0 มิลลิเมตร ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอด ใบอ่อน ช่อดอกตัวผู้ ปลายไหมและฝัก ทำให้การติดเมล็ดไม่สมบูรณ์ ฝักลีบ ถ่ายมูลหวานทำให้เกิดราดำ คุณภาพฝักลดลง พบการทำลายในแหล่งปลูกทั่วประเทศ ระบาดมากในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี และลพบุรี<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ถ้าพบการระบาดรุนแรงในระยะข้าวโพดหวานมีช่อดอกตัวผู้ ควรพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช<br />
สำหรับเพลี้ยอ่อนข้าวโพดสามารถใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ คาร์บาริล (85% ดับบลิวพี) ปริมาณ 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือ ไบเฟนทริน 10 % อีซี) ปริมาณ 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ใช้พ่นเฉพาะบริเวณที่เพลี้ยอ่อนลงทำลาย เมื่อพบความหนาแน่นของเพลี้ยอ่อนมากกว่า 5% องพื้นที่ใบทั้งต้น โดยเฉพาะระยะที่แทงช่อดอกตัวและหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 4 วัน<br />
มอดดิน<br />
ลักษณะการเข้าทำลาย ตัวเต็มวัยเป็นด้วงงวง สีเทาดำยาว ประมาณ 3.5 มิลลิเมตร กัดกินใบตั้งแต่เริ่มงอกถึงอายุประมาณ 14 วัน ทำให้ตัวอ่อนตายหรือชะงักการเจริญเติบโต ต้นที่รอดตายจะเก็บเกี่ยวได้ล่าช้า ระบาดในพื้นที่เป็นดินร่วนปนทราย ในแถบจังหวัดลพบุรี สระบุรี นครราชสีมา อุทัยธานี นครสวรรค์และกำแพงเพชร<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้งหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- ปลูกข้าวโพดหวานในแหล่งที่มีน้ำเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน<br />
- กำจัดวัชพืชที่เป็นพืชอาศัยของแมลงรอบแปลงปลูก ได้แก่ ขี้กาลูกกลม ตีนตุ๊กแก เถาตอเชือก สะอึก หญ้าตีนติด และหญ้าขจรจบดอกเล็ก<br />
- ในแหล่งที่พบการระบาดเป็นประจำ ควรคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก<br />
สำหรับมอดดิน สามารถใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช คือ อิมิดาโคลพริด (70 %ดับบริวพี) ปริมาณ 5 กรัม/เมล็ด 1 กิโลกรัม แล้วทำการคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก<br />
หนอนกระทู้หอม<br />
ลักษณะการทำลาย ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนสีน้ำตาลเข้มปนเทา กางปีกกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร วางไข่เป็นกลุ่มสีขาวใต้ใบ มีขนสีครีมปกคลุม หนอนกัดกินทุกส่วนในระยะต้นอ่อน <br />
จะทำความเสียหายรุนแรงเมื่อหนอนมีความยาวตั้งแต่ 2 เซนติเมตร พบระบาดมากในแหล่งปลูกจังหวัดราชบุรี และนครปฐม<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- เก็บกลุ่มไข่และหนอนทำลาย<br />
- ในแหล่งที่ระบาดเป็นประจำ ควรพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช<br />
สำหรับหนอนกระทู้หอม สามารถใช้ชีวิทรีย์หรือสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ นิวเคลียร์โอโพลีฮีโดรซีสไวรัส ปริมาณ 20-30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นในเวลาเย็น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 5 วัน เมื่อพบหนอนเฉลี่ย 2-3 ตัวต่อต้น และหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 1 วัน หรือ เบตาไซฟลูทริน (2.5 % อีซี) ปริมาณ 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้พ่นเมื่อพบหนอนเฉลี่ย 2-3 ตัวต่อต้น จำนวน 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน (ในแหล่งที่พบแตนเบียนหนอนบราโคนิค ไม่จำเป็นต้องใช้สาร) และหยุดการใช้สารก่อนการ<br />
เก็บเกี่ยว 14 วัน<br />
สัตว์ศัตรูพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัด<br />
หนู<br />
ลักษณะการทำลาย หนูเป็นสัตว์ฟันแทะ ศัตรูสำคัญชนิดหนึ่งของข้าวโพดฝักอ่อน ทำลายมากตั้งแต่เริ่มเป็นฝักอ่อนถึงเก็บเกี่ยว สกุลหนูพุกกัดโคนต้นให้ล้มแล้วกัดกินฝักอ่อน สกุลหนูท้องขาว เช่น หนูบ้านท้องขาว หนูนาเล็ก และสกุลหนูหริ่งจะปีนกัดแทะฝักอ่อนบนต้น<br />
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในฤดูแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ไม่มีอาหารชนิดอื่น<br />
การป้องกันกำจัด<br />
- กำจัดวัชพืชบริเวณแปลงปลูกและพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู<br />
- ใช้กรงดักหรือกับดัก<br />
- เมื่อสำรวจพบร่องรอย รูหนู ประชากรหนู และความเสียหายอย่างรุนแรงของข้าวโพดฝักอ่อน ให้ใช้วิธีป้องกันกำจัดแบบผสมผสานคือใช้กรงดักหรือกับดัก ร่วมกับการใช้เหยื่อพิษ <br />
20. ชนิดของสารกำจัดสัตว์ศัตรูที่สำคัญ<br />
สารออกฤทธิ์เร็ว ที่นิยมใช้คือ ซิงค์ฟอสไฟต์ (80% ชนิดผง) ใช้ร่วมกับเหยื่อพิษ ประกอบด้วยสารซิงค์ฟอสไฟต์ ผสมปลายข้าวและรำข้าว อัตราส่วน 1:77:2 โดยน้ำหนัก ส่วนวิธีการใช้และข้อควรระวังคือใช้ลดประชากรหนูก่อนปลูก หรือเมื่อมีการระบาดรุนแรง โดยวางเหยื่อพิษเป็นจุดตามร่องรอยหนูหรือวางจุดละ 1 ช้อนชา ห่างกัน 5-10 เมตร ใช้แกลบรองพื้นและกลบเหยื่อพิษอย่างละ 1 กำมือ เนื่องจากเป็นเหยื่อพิษที่ทำให้หนูเข็ดขยาด จึงไม่ควรใช้บ่อยครั้ง ส่วนอัตราการใช้<br />
สารออกฤทธิ์ช้า ที่นิยมใช้กันได้แก่ โฟลคูมาเฟน (0.005%) โปรมาดิโอโลน (0.005%) ไดฟิทิอาโลน (0.0025%) ใช้ร่วมกับเหยื่อพิษสำเร็จรูป (ชนิดขี้ผึ้ง) ก้อนละ 5 กรัม ส่วนวิธีการใช้และข้อควรระวัง ใช้ลดประชากรหนูที่เหลือหลังจากใช้สารออกฤทธิ์เร็ว โดยวางเหยื่อพิษในภาชนะตามร่องรอยหนูจุละ 15-20 ก้อน ห่างกัน10-12 เมตร เติมเหยื่อทุกสัปดาห์ และหยุดเติมเมื่อการกินเหยื่อน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์<br />
สารป้องกันกำจัดสัตว์สัตรูข้าวโพดหวานทั้ง 2 ชนิด ใช้ได้กับสัตว์ศัตรูพืช ได้แก่ หนูพุกใหญ่ หนูพุกเล็ก หนูบ้านท้องขาว หนูนาใหญ่ หนูนาเล็ก หนูหริ่งนาหางขาว และหนูหริ่งนาหางสั้น<br />
3. การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพ<br />
เส้นไหมยาว 1-3 เซนติเมตร จำนวน 50 % ของแปลง ให้นับเป็นวันที่ 1 แล้วว่างไปอีก 20 วัน สามารถเก็บเกี่ยวได้ หรือสังเกตสีของเส้นไหมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใช้แรงงานคนหักฝักให้ถึงบริเวณก้านฝักติดลำต้น ควรเก็บให้เสร็จภายใน 1-2 วัน เมื่อเก็บฝักแล้วให้นำข้าวโพดที่ร่มไม่ถูกแสงแดด หรือรับขนส่งไปตาลาดหรือโรงงานภายในเวลา 24 ชั่วโมง<br />
คุณภาพและมาตรฐานข้าวโพดหวาน<br />
1. ตรงตามสายพันธุ์<br />
2. ความอ่อนแก่กำลังดี ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป<br />
3. จำนวน 3-5 ฝักต่อกิโลกรัม<br />
4. เมล็ดเต็ม ไม่เหี่ยว ลักษณะเปลือกเมล็ดบาง เมล็ดเรียงเป็นระเบียบ<br />
5. เมล็ดสีเหลืองอ่อน ไม่มีสีอื่นปะปน<br />
6. ไม่ถูกแมลงกัด ไม่เป็นโรค ไม่มีพันธ์อื่นปน ไม่เน่าเสียหรืออบร้อนจนเน่า<br />
7. มีเปลือกหุ้มฝักได้ไม่เกิน 30% ของน้ำหนักAnphonhttp://www.blogger.com/profile/02749651871957061905noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6203960321148474688.post-23956146863527957792011-09-19T04:26:00.001-07:002011-09-19T04:26:11.258-07:00ข้าวโพด<br />
(Indian Corn หรือ Maize)<br />
<br />
ข้าวโพด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ซีเมส์ (Zea mays) เป็นพืชตระกูลเดียวกับหญ้ามีลำต้นสูง โดยเฉลี่ย 2.2 เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 0.5-2.0 นิ้ว ถิ่นกำเนิดก็คือ ได้มีการขุดพบซังข้าวโพดและซากของต้นข้าวโพดที่ใกล้แม่น้ำในนิวเม็กซิโก (แถบอเมริกาใต้) และปัจจุบันนิยมปลูกแพร่หลายในแถบอเมริกา แคนาดา ฯลฯ สามารถปลูกได้ในสภาพที่ภูมิอากาศแตกต่างกันมาก ๆ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ เพราะสามารถนำมาเลี้ยงสัตว์ได้ทั้งต้น ใบ และเมล็ด<br />
สำหรับประเทศไทย คนไทยรู้จักนำข้าวโพดมาเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย ม.จ.สิทธิพร กฤษดากร ได้นำข้าวโพดพันธุ์ที่ใช้เลี้ยงสัตว์มาปลูกและทดลองใช้เลี้ยงสัตว์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่รู้จักกันน้อยในหมู่นักวิชาการ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การใช้ข้าวโพดเริ่มแพร่หลายขึ้นในหมู่นักวิชาการ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การใช้ข้าวโพดเริ่มแพร่หลายขึ้นในหมู่นักวิชาการ ทั้งนี้เนื่องจาก คุณหลวงสุวรรณ วาจกกสิกิจได้นำการเลี้ยงไก่แบบการค้ามาเริ่มสาธิต และกระตุ้นให้ประชาชนปฎิบัติตามผู้เลี้ยงไก่จึงรู้จักใช้ข้าวโพดมากขึ้นกว่าเดิม แต่เนื่องจากระยะนั้นข้างโพดมีราคาสูงและหายาก การใช้ข้าวโพดจึงใช้เป็นเพียงส่วนประกอบของอาหารหลัก ซึ่งมีรำและปลายข้าวเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบันผู้เลี้ยงสัตว์รู้จักข้าวโพดกันทั่ว และประเทศไทยได้ปลูกข้าวโพดในปีหนึ่ง ๆ จำนวนไม่น้อย ทั้งนำมาใช้เองและส่งออกต่างประเทศ คิดพื้นที่ ๆ เพาะปลูกเฉลี่ยแล้วตั้งแต่ปี 18 เป็นต้นมา ปลูกไม่ต่ำกว่า8,000,000 ไร่/ปี ปริมาณข้าวโพดที่ผลิตได้ ได้นำมาใช้ภายในประเทศ 10-15% ของที่ผลิตได้ หรือถ้านับรวมทั้งการใช้เลี้ยงสัตว์และค่าเมล็ดพันธุ์เพาะปลูกประมาณ 5-6 แสนตันต่อปี<br />
ชนิดของข้าวโพด<br />
ข้าวโพดที่ใช้เลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยมีหลายพันธุ์ ที่นิยมปลูกในประเทศไทยได้แก่ พันธุ์กัวเตมาลา พียี 12(Rep.1) กัวเตมาลา พีบี 12(Rep.2) พีบี 5 ข้าวโพดเหนียว และโอเปค-2 มีเมล็ดตั้งแต่สีขาว สีเหลืองไปจนถึงสีแดง ขนาดของเมล็ดขึ้นอยู่กับพันธุ์ โดยทั่วไปจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ในช่วง 0.5-0.8 ซม. ก่อนนำมาเลี้ยงสัตว์จึงต้องบดก่อนเพื่อช่วยให้การย่อยและการผสมได้ผลดีขึ้น ที่บดแล้วจะมีขนาดประมาณ 1-8 มม. โดยทั่วไปข้าวโพดจัดออกเป็น 5 กลุ่ม คือ<br />
1. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือข้าวโพดไร่ (Field Corn) <br />
ที่รู้จักในปัจจุบันมีข้าวโพดหัวบุ๋ม(Dent Coorn) และข้าวโพดหัวแข็ง (Fint Corn) ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะเมล็ด<br />
ข้าวโพดหัวบุ๋มหรือหัวบุบ ข้าวโพดชนิดนี้เมื่อเมล็ดแห้งแล้วตรงส่วนหัวบนสุดจะมีรอยบุ๋มลงไป ซึ่งเป็นส่วนของแป้งสีขาว ข้าวโพดชนิดนี้สำคัญมากและนิยมปลูกกันมากใน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะทางแถบคอร์นเบลท์ สีของเมล็ดมีตั้งแต่ขาวไปจนถึงเหลือง เนื่องจากมีหลายสายพันธุมีโปรตีนน้อยกว่าพวกข้าวโพดหัวแข็ง<br />
ข้าวโพดหัวแข็ง ข้าวโพดพันธุ์นี้ส่วนขนสุดของเมล็ดมักมีสีเหลืองจัดและเมื่อแห้งจะแข็งมาก ภายในเมล็ดมีสารที่ทำให้ข้าวโพดมีสีเหลืองจัดเป็นสารให้สีที่ชื่อ คริปโตแซนทีน (Cruptoxanthin) สารนี้เมื่อสัตว์ได้รับร่างกายสัตว์จะเปลี่ยนสารนี้ให้เป็นไวตามินเอ นอกจากนี้สารนี้ยังช่วยให้ไข่แดงมีสีแดงเข้ม ช่วยให้ไก่มีผิวหนัง ปาก เนื้อ และแข้งมีสีเหลืองเข้มขึ้น เป็นที่นิยมของตลาดโดยเฉพาะแถบอเมริกาส่วนอังกฤษนั้นนิยมใช้ข้าวโพดขาว<br />
2.ข้าวโพดหวาน (Sweet Corn) เป็นข้าวโพดที่คนใช้รับประทาน ไม่การแปรรูปเมล็ดมักจะใสและเหี่ยวเมื่อแก่เต็มที่ เพราะมีน้ำตาลมากก่อนที่จะสุกจะมีรสหวานมากกว่าชนิดอื่น ๆ จึงเรียกข้าวโพดหวาน มีหลายสายพันธุ์<br />
3.ข้าวโพดคั่ว (Pop Corn) เป็นข้าวโพดที่คนใช้รับประทาน ไม่มีการแปรรูป เมล็ดค่อนข้างแข็ง สีดีและขนาดแตกต่างกัน สำหรับต่างประเทศ ถ้าเมล็ดมีลักษณะแหลมเรียกว่า ข้าวโพดข้าว (Rice Corn) ถ้าเมล็ดกลม เรียกว่า ข้าวโพดไข่มุก (Pearl Corn)<br />
4. ข้าวโพดแป้ง (Flour Corn) เมล็ดมีสีหลายชนิด เช่น ขาว (ขุ่น ๆ หรือปนเหลืองนิด ๆ) หรือสีน้ำเงินคล้ำ หรือมีทั้งสีขาวและสีน้ำเงินคล้ำในฝักเดียวกัน เนื่องจากกลายพันธุ์ พวกที่มีเมล็ดสีคล้ำและพวกกลายพันธุ์เรียกว่าข้าวโพดอินเดียนแดง (Squaw Corn) หรือเรียกได้อีกชื่อว่าข้าวโพดพันธุ์พื้นเมือง (Native Corn) พวกข้าวโพดสีคล้ำนี้จะมีไนอาซีน สูงกว่าข้าวโพดที่มีแป้งสีขาว<br />
5. ข้าวโพดเทียน (Waxy Corn) เป็นข้าวโพดที่คนใช้รับประทาน จะมีแป้งที่มีลักษณะเฉพาะคือ นุ่มเหนียว เพราะในเนื้อแป้งจะประกอบด้วยแป้งพวกแอมมิโลเปคติน (Amylopectin) ส่วนข้าวโพดอื่น ๆ มีแป้งแอมมิโลส (Amylose) ประกอบอยู่ด้วย จึงทำให้แป้งค่อนข้างแข็ง<br />
วิธีการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์<br />
ใช้ได้หลายรูปแบบทั้งอาหารหยาบและอาหารข้น การใช้ในรูปอาหารหยาบคือ ใช้ต้น ใบ ซัง ทั้งสภาพสด และแห้งและหมัก<br />
ส่วนอาหารข้นใช้ได้ทั้งเมล็ด ทั้งในรูปแหล่งให้พลังงานและแหล่งเสริมโปรตีน ซึ่งได้จากผลิตภัณฑ์ข้างเคียงจากอุตสาหกรรมแป้งข้าวโพด น้ำมันข้าวโพด และน้ำหวานจากข้าวโพด ซึ่งผลิตภัณฑ์ข้างเคียงเหล่านี้มีหลายชนิด <br />
1.เมล็ดข้าวโพดบด (Ground corn Cracked corn หรือ Corn meal) โดยปกติ หมายถึงเม็ดข้าวโพดที่มีสีออกจากฝักแล้วนำมาบดหรือทำให้แตกออก การบดไม่ควรบดให้ละเอียดเกินไป เพราะสัตว์ไม่ชอบกิน ข้าวโพดที่บดแล้วจะเก็บไว้ได้นานต้องมีความชื้นไม่เกิน 12 % ข้าวโพดบดผสมอาหารได้ดีถึง 70-80 % โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ ถือว่าเป็นอาหารชั้นที่ดี ลักษณะข้าวโพดบดแบบนี้มักนิยมบดใช้เองในฟาร์ม<br />
ในต่างประเทศ ข้าวโพดบดจากกรรมวิธีการผลิตในปัจจุบัน หมายถึงข้าวโพดที่แยกเอาส่วนของเปลือกนอกของเมล็ด (Hull) และส่วนจุดงอกหรือคัพภะ (Germ) ของเมล็ดออกไปแล้วและนำมาบด เมล็ดข้าวโพดบดไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมมากเกิน 4 % สิ่งที่มักปนมาคือ ซังและเปลือกข้าวโพด<br />
สำหรับการเก็บเมล็ดข้าวโพด จะต้องเก็บในลักษณะที่เมล็ดแห้งจริง ๆ เมล็ดข้าวโพดนิยมใช้เป็นอาหารสุกร วัว สัตว์ปีก ม้า ล่อ และแพะ-แกะ และนอกจากนี้ใช้หมักทำแอลกอฮอล์ และประกอบเป็นอาหารคน เล่น ทำแป้งข้าวโพด สกัดเอาน้ำมันข้าวโพด ทำน้ำหวานจากข้าวโพด น้ำตาลหรือน้ำส้มจากข้าวโพด หรือบริโภคในรูปข้าวโพดทั้งฝัก หรือข้าวโพดคั่ว นอกจากจะนิยมรับประทานโดยไม่แปรรูป แล้วอาจนำมาทำเป็นเครื่องกระป๋อง หรือต่างประเทศนิยมแช่แข็งเก็บไว้บริโภค คุณค่าของโภชนะในข้าวโพดที่ปลูกในอเมริกา ค่อนข้างจะแปรปรวนขึ้นอยู่กับพันธุ์ และสถานที่ปลูก ข้าวโพดมีไวตามินเอ สูงมาก แต่มีไวตามินบีรวมต่ำ ก่อนจะบดข้าวโพดต้องเลือกสิ่งแปลกปลอมออก<br />
2.ข้าวโพดบดทั้งฝักโดยแกะเปลือกออกแล้ว (Corn and cob meal หรือ Ground ear corn) โดยปกติจะมีซังติดมาตามธรรมชาติประมาณ 20% เป็นอาหารที่เบาฟ่าม มีกากมากขึ้นเมื่อเทียบกับเมล็ดข้าวโพดบด เหมาะสำหรับแม่โค พ่อโคพันธุ์เนื้อ โคนม ในกรณีที่ใช้ในไก่ไข่และไก่ระยะเติบโตจะให้ผลดีเท่ากับเมล็ดข้าวโพดบดละเอียด เหมาะสำหรับสุกอุ้มท้องเพื่อกันอ้วน แต่ไม่เหมาะสำหรับสุกรขุน แต่ถึงอย่างไรซังข้าวโพดยังมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าฟางข้าว แม้ว่าโปรตีนจะย่อยค่อนข้างยาก เนื่องจากซังข้าวโพดย่อยยาก การบดข้าวโพดทั้งฝัก ถ้าบดละเอียด หมายถึงข้าวโพดต้องสามารถผ่านตะแกรงเบอร์ 4 ได้ทั้งหมด และผ่านเบอร์ 10 ได้ 50 % บางครั้งจะมีการบดข้าวโพดทั้งฝักโดยไม่แกะเปลือกออก กรณีนี้จะมีเยื่อใยมากขึ้น คุณค่าทางอาหารจะน้อยกว่าที่กล่าวมา<br />
3.เลี้ยงสัตว์โดยใช้ข้าวโพดทั้งฝัก โดยให้สัตว์กินเอาเปลือกออกหรือไม่ก็ตาม และมีอาหารโปนตีน ไวตามิน แร่ธาตุใส่รางต่างหาก ข้าวโพดที่ไม่ได้แกะเปลือกออกจะป้องกันตัวเพลี้ยได้ดี ข้าวโพดทั้งฝักที่เก็บในโรงเก็บจะมีความชื้นประมาณ 14 % ซึ่งในระยะที่ปลิดฝักจะมีความชื้นตั้งแต่ 16-30 % การให้ข้าวโพดทั้งฝักใช้ได้ดีในพวกวัว<br />
4. ซังข้าวโพด อันที่จริงแล้วจัดเป็นอาหารหยาบที่ให้พลังงาน(Cob meal Ground corn cob ) <br />
หมายถึง ฝักข้าวโพดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วนำมาบดเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องเช่น วัวนม หรือพ่อโค แม่พันธุ์โคเนื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เคี้ยวเอื้องอ้วนเกินไป และยังช่วยเพิ่มปริมาณไขมันนมให้สูงขึ้น เพราะเป็นอาหารที่มีเยื่อใย (กาก) สูงแต่ยังมีคุณค่าสูงกว่าฟางข้าว นิยมใช้เมื่อขาดแคลนหญ้าสด แต่เนื่องจากซังข้าวโพดย่อยยาก ดังนั้น ก่อนนำมาเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องจะต้อง<br />
4.1 บดจนละเอียด<br />
4.2 มีอาหารเสริมโปรตีนอย่างเพียงพอ (เพื่อช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร)<br />
4.3 ใช้อาหารที่มีแป้งที่ละลายได้หรือย่อยง่ายผสมด้วย<br />
4.4 เสริมแร่ธาตุโดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งสัตว์มักขาดหากใด้รับซังข้าวโพดบดใช้เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องได้แต่ไม่เหมาะกับสุกร ไก่ นอกจากนำมาเป็นวัสดุรองพื้นคอก อัตราที่ใช้เลี้ยงวัวได้ผลดีใกล้เคียงกับหญ้าสด คือ 2 กก./ วัน<br />
5.ข้าวโพดบดชนิดหยาบ (Screened cracked corn Screened corn หรือ Screened corn chop)<br />
หมายถึง ข้าวโพดที่ถูกนำมาร่อน เพื่อแยกเอาส่วนที่ละเอียดหรือมีขนาดเล็กออกไป ส่วนที่เหลือจะมีขนาดใหญ่ จึงเรียก สกรีน แครก คอร์น ซึ่งในที่นี้เรียกเป็นข้าวโพดบดชนิดหยาบ ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมเกิน 4% <br />
6.ปลายข้าวโพด (Corn Grits หรือ Hominy grits) เป็นส่วนที่แข็งมากของเมล็ดขนาดกลางซึ่งอาจมีส่วนของรำและบริเวณที่งอกเป็นต้นข้าวโพด (Germ) ปนมาบ้างเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แป้งส่วนที่แข็งมากนี้มีสีเหลืองและสีขาวหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง มีไขมันไม่เกิน 4% ถ้าเมล็ดสีขาวจะเรียก (White corn grits ) ถ้าเป็นสีเหลืองเรียก (Yellow corn Grits) <br />
7.กลุ่มผลิตผลพลอยได้จากการทำแป้งข้าวโพด ในการทำแป้งข้าวโพด จะมีผลพลอยได้หลายชนิด ทั้งที่มีโปรตีนสูง จึงเป็นแหล่งโปรตีน <br />
7.1โฮมินีฟีด (Hominy feed ) เป็นส่วนผสมของรำข้าวโพด ส่วนของเจิร์มและส่วนที่เป็นแป้ง ไม่ว่าจะเป็นสีขาวหรือเหลือง ซึ่งเป็นผลิตผลข้างเคียงจากการผลิต คือเมล็ดข้าวโพดบดที่ขัดเอาส่วนเปลือกผิว และเจิร์มออกไปแล้ว ผู้คนนิยมนำไปต้มบริโภค เรียก ( Table corn meal) โฮมินีฟีดนี้จะมีไขมันอยู่ไม่น้อยกว่า 4%ได้มีการทดลองพบว่ามีไขมันอยู่ตั้งแต่ 4.3-7.8 % ค่า EM ตั้งแต่2618-3366 Kcal ME/kg. ที่ความชื้น 10% ในปัจจุบันโรงงานใช้ระบบเคมีสกัด(Solvent extracted hominy feed ) จะให้พลังงานต่ำกว่านี้ มีคุณค่าอาหารสัตว์ปีกน้อยลง เป็นแหล่งที่มีกรดไขมันลิโนเลอิกมากพอสมควร สามารถใช้แทนข้าวโพดในสูตรอาหารปศุสัตว์ และใช้แทนเมล็ดธัญพืชในสูตรอาหารสัตว์ปีก<br />
7.2 คอร์นแพลนท์พัล์พ (Corn plant pulp) เป็นกากข้าวโพดที่ได้จากการคั้นเอาน้ำข้าวโพดออกไปแล้ว นำมาทำให้แห้ง ส่วนน้ำข้าวโพดนำไปทำน้ำเชื่อมหรือน้ำตาลต่อไป<br />
7.3 ฮีทโปรเสสคอร์น (Heat process cord) คล้ายข้าวโพดบดทั้งฝัก แต่ชื่อเรียกต่างกันตามการทำ โดยนำข้าวโพดทั้งฝักยังไม่แกะเปลือกมานึ่งภายใต้ความดัน หรืออบให้แห้งด้วยความร้อนโดยตรง แล้วบดหรืออัดเม็ด หรือทับเป็นแผ่น แบนๆ เช่น Corn Flake<br />
คุณค่าทางอาหารของข้าวโพด <br />
มีแป้ง 65% เยื่อใยต่ำ มีพลังงานแบบเมตาโบไลซ์ (ME)สูงมีไขมัน 3-6% มีกากไขมันไม่อิ่มตัวสูง มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดไขมันเหลวในสัตว์ได้ โปรตีนรวม 8-13% มีอยู่ 2 ชนิด คือซีนหรือ เซอีน (Zein) ซึ่งพบในเนื้อใน (Endosperm) ในปริมาณมาก แต่โปรตีนชนิดนี้ขาด (Lysine) และ (Tryptophan) ส่วนกลูเทนิน จะพบใน Endosperm น้อย และคัพภะ มีอยู่บ้าง แต่มีส่วนประกอบของ EAA ดีกว่าZein เพราะมีไลซีน และทริปโตเฟน ประกอบอยู่ในปริมาณที่สูงกว่า<br />
นักผสมพันธุ์พืชได้พยายามผสมพันธุ์ และปรับปรุงพันธุ์ข้อบกพร่องเรื่อง EAA ของข้าวโพด และได้พันธุ์ (OpaQue-2) มาแทน บางครั้งเรียก ข้าวโพดไลซีนสูงและยังมีกลูเทลินสูงกว่า เซอีน เมื่อเทียบกับข้าวโพดธรรมดา ถ้าใช้แล้วเสริมด้วยเมไธโอนีน ในอาหารหนู คน สุกร ไก่ จะทำให้ใช้ข้าวโพดดียิ่งขึ้น มีคุณค่าทางอาหารสูงขึ้น<br />
นอกจากนี้มีพันธุ์ฟลาวรี่ –2 ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่า Opaque-2 โดยมีโปรตีนสูงกว่า ส่วนกรดอะมิโน มีEAA หลายตัวสูงกว่าโดยเฉพาะ Methyonine ถึงแม้จะมีบางตัวต่ำกว่าเล็กน้อยก็ตาม <br />
<br />
คุณภาพของข้าวพดซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของนักอาหารสัตว์มานาน Hixon,1947. (อ้างโดยSprague,1970.) ได้สรุปไว้ดังนี้<br />
1.คุณภาพของโปรตีนในส่วน Grem ของข้าวโพดต้องเหมาะสมกับความต้องการของสัตว์ เพราะ 22% ของโปรตีนในข้าวโพด จะมาจาก Germ ดังนั้นการเพิ่มปริมาณ Germ ในเมล็ดจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของข้าวโพดด้วย<br />
2.ข้าวโพดไม่ควรมีโปรตีนที่ชื่อ Zein อยู่ เพราะการมี Zein อยู่จะทำให้ปริมาณของ Lysine และ Trytophan ต่ำ การที่ไม่มี Zein จะทำให้ปริมาณของกรดอมิโน 2 ตัวนี้เพิ่มขึ้น<br />
3.พยายามผลิตข้าวโพดพันธุ์ใหม่ที่มี Lysine อยู่ในปริมาณที่สูงขึ้นAnphonhttp://www.blogger.com/profile/02749651871957061905noreply@blogger.com0